เมื่อมีอาการมือชาจะเกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิตแน่นอน โลหิตอาจจะข้น มีไขมัน โลหิตเป็นพิษ หัวใจอ่อนแอ ประจำเดือนติดขัด อิริยาบถที่ชอบก้มหน้านานๆ เส้นหลังตึง หลังยอก สบักจม และอื่นๆ ล้วนเป็นเหตุให้เกิดอาการมือขาชาได้ทั้งนั้น
การรักษาสุขภาพเป็นเรื่องเฉพาะตน ถ้าน้องของคุณไม่มีแม้แต่เวลาจะดูแลตนเอง แล้วจะให้ใครช่วยได้ เรื่องปัจจัยเป็นอีกเรื่องต่างหาก ซึ่งถ้าไม่มี ก็สามารถช่วยเหลือกันได้เพราะเราเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่เรื่องเวลา จะต้องช่วยตนเอง หาเวลามานั่งคุยปรึกษาปัญหาโรคภัยที่เป็นอยู่ ถ้าไม่มีเวลา ก็เป็นกรรมของคนผู้นั้นเอง
อาการมือชาตอนเช้า มาจากหลายสาเหคุร่วมกัน คือ เลือด ลม ลักษณะของหมอน ท่านอน การขาดสารอาหารและที่สำคัญคือ รอยโรคของเจ้าตัวเองที่อาจมาจากโรคที่มีสาเหตุจริงและโรคที่มาจากความเตรียด เพราะในขณะที่นอนหลับนั้น หากหมอนสูงหรือต่ำไปจะทำให้กระดูกบริเวณต้นคอพับหรือกดเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนได้ ทำให้เลือดและลมเดินได้ไม่สะดวก ในรายที่เป็นหมอนรองกระดูกต้นคอเสื่อม หรือมีแคลเซียมเกาะเนื่องจากขาดการออกกำลังกายก็จะมีอาการชาได้เช่นกัน
การรับประทานอาหารที่ถุกส่วนทำให้ขาดวิตามินบี ก็ทำให้มีอาการชาได้
หากได้ทราบประวัติการเจ็บป่วย ลักษณะการชา และการใช้ชีวิตประจำวันเพิ่มเติม จะทำให้การวินิจฉัยได้ถูกต้องและแนะนำการปฏิบัติเพื่อให้อาการบรรเทาลงได้
ดิฉันเห็นใจทุกท่านที่กำลังตกอยู่ในสภาวะความเครียดโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจแบบนี้ หากเรามองกลับในด้านดี น่าจะป็นโอกาสให้เราได้หันมาใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองให้มากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักาตัวมากเกินความจำเป็น
ส่วนใหญ่มักมองข้ามการออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งเป็นการบำรุงส่งเสริมสุขภาพร่างกายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย แต่ได้ความสมบูรณ์แข็งแรงกลับมาซึ่งเงินทองก็ไม่สามารถให้ได้
การปฏิบัติตนที่สามารถทำได้เลยคือ
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี สูง พวกข้าวซ้อมมือ ผักใบเขียว ผักสด ผลไม้ มันเทศ ฯลฯ และเพิ่มวิตามินบี 1, 6, 12 วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า ทุกวัน ซึ่งราคาไม่แพงและหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
- บริหารคอ แขน ไหล่โดยการ
1.หันหน้าไปด้านซ้าย กลับมาตรง หันไปด้ายขวา
2.เอียงหน้าให้ชิดบ่ามากที่สุดด้านซ้าย กลับมาตรง เอียงหน้าให้ชิดบ่ามากที่สุดด้านขวา
3.ก้มหน้าลง กลับมาตรง แหงนหน้าขึ้น
4.หมุนศรีษะไปด้านซ้าย กลับมาตรง หมุนศรีษะไปด้านขวา
5.ใช้ฝ่ามือซ้ายดันขมับด้านซ้าย สลับกับ ใช้มือขวาดันขมับด้านขวาโดยให้ต้านน้ำหนักกัน จะทำให้กล้ามเนื้อ
บริเวณคอเกร็ง เกิดความยืดหยุ่น
6.ยืนเอียง 45 องศา เหวี่ยงแขนช้างขึ้นลงเป็นจังหวะจากต่ำไปหาสุงที่สุดเท่าที่จะสูงได้สลับกันซ้ายและขวา
ทำการบริหารเริ่มจากส่วนละ 5-10 ครั้ง หากกล้ามเนื้อเริ่มยืดหยุ่นแล้ว ก็สามารถทำเพิ่มขึ้นได้ ขอให้ทำต่อเนื่อง วันละ 20-30 นาที ในช่วงเช้า อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น (มีผู้ป่วยที่ทีอาการชามากจนแพทย์นัดผ่าตัดแล้ว แต่เมื่อได้ออกกำลังท่านี้นานประมาณ 1 เดือน อาการดีขึ้นเป็นลำดับ เมื่อทำได้ 3 เดือน อาการที่เป็นอยู่หายไปและไม่ต้อง ผ่าตัด ปัจจุบันยังคงทำอยู่เป็นประจำ
จะเห็นว่าหากเราให้เวลากับตัวเองโดยเห็นเป็นเรื่องสำคัยและจำเป็น ก็จะทำให้เราสมารถชนะการเจ็บป่วยได้
ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จัดลำดับความสำคัญให้กับการดำรงชีวิตให้ดีเท่านั้นคุณจะได้ประโยชน์โดยไม่เสียงานเลยค่ะXML:NAMESPACE PREFIX = O />xml:namespace prefix = "o" />XML:NAMESPACE PREFIX = "O" />