ชื่อยาสมุนไพร : ยาธรณีสัณฑะฆาต
ชื่อแหล่งที่มา : ยาธรณีสัณฑะฆาต ทิพย์โอสถยาไทย
สรรพคุณ : แก้กษัยเส้น เถาดาน ท้องผูก
คำเตือน : คนเป็นไข้ เด็กหรือสตรีมีครรภ์
ห้ามรับประทาน
ผู้สูงอายุ ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
ทะเบียนเลขที่ : G343/53
ประเภท : ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ
ขนาดบรรจุ : จำนวน 60 แคปซูล
ใบอนุญาตเลขที่ ฆท. 772/2557
อายุของยา 3 ปี (นับจากวันผลิต)
ราคาปกติ :
ราคาขาย : 250 บาท
กษัย กระษัยเส้น คืออะไร
สิทธิการิยะ จะกล่าวลักษณะกระษัย(กะไษย)โรค ซึ่งพระอาจารย์ระมวล(ประมวล)ไว้มีประเภท ๒๖ จำพวก
กระษัย(กะไษย)๘ จำพวก คือ กระษัย(กะไษย)กล่อน ๕ กระษัย(กะไษย)น้ำ ๑ กระษัย(กะไษย)ลม ๑ กระษัย(กะไษย)ไฟ ๑
รวม ๘ จำพวกนี้ เกิดแต่กองสมุฏฐานธาตุ มีแจ้งอยู่ในคัมภีร์วุฒิกะโรค กล่าวคือ กล่อม(กล่อน) ๕ ประการโน้นแล้ว
จะกล่าวแต่กระษัย(กะไษย)อันบังเกิดเป็นอุปาติกะโรค ๑๘ จำพวก คือ
กระษัย(กะไษย) ล้น กระษัย(กะไษย)ราก กระษัย(กะไษย)เหล็ก กระษัย(กะไษย)ปู กระไสยจุก กระษัย(กะไษย)ปลาไหล กระษัย(กะไษย) ปลาหมอ กระษัย(กะไษย)ปลาดุก กระษัย(กะไษย)ปลวก กระษัย(กะไษย)ลิ้น กระบือ กระษัย(กะไษย)เต่า กระษัย(กะไษย)ดาน กระษัย(กะไษย)ทัน กระษัย(กะไษย)เสียด กระษัย(กะไษย)ไฟ กระษัย(กะไษย)น้ำ กระษัย(กะไษย)เชือก กระษัย(กะไษย)ลม รวมเป็น ๑๘ จำพวก ดังกล่าวมานี้
๑. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)ล้น กระษัย(กะไษย)ล้นนั้นเกิดเพื่อน้ำเหลือง โดยกำลังลมพัดให้เป็นฟอง กระทำให้ท้องลั่นขึ้นแลลั่นลง ถ้าข้างขึ้นทำให้แดกอก ถ้าข้างแรมทำให้ถ่วงหัวเหน่า ดังจะขาดใจตาย
๒. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)ราก กระษัย(กะไษย)รากเกิดเพื่อลมร้อง ทำให้อาเจียนลมเปล่า ท้องลั่นดังจ๊อก ๆ ตึงไปทั้งกายดังเอาเชือกรัดไว้ ทำให้ร้องครางอยู่ทั้งกลางวันแลกลางคืน ดังใจจะขาดตาย
๓. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)เหล็ก มีอาการให้ปวดหัวเหน่า แลทำให้ท้องน้อยแข็งดังแผ่นหิน จะไหวตัวไปมามิได้ ปวดขบดังจะขาดใจตาย
๔. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)ปู กระษัย(กะไษย)ปูนี้เกิดเพื่อโลหิตคุมกัน มีสัณฐานดังปูทะเล เข้ากินอยู่ในกระเพาะข้าว กระทำให้ปวดขบท้องน้อยเป็นกำลัง เมื่อกินอาหารลงไปค่อยสงบลง เมื่อสิ้นอาหารแล้ว กระทำให้พัดอยู่ดังกงเกวียนลั่นอยู่ตามลำไส้เจ็บดังจะขาดใจตาย
๕. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)จุก กระษัย(กะไษย)จุกเกิดขึ้นเนื่องจากลมเดินแทงเข้าไปในเส้นเอ็นภายใน เป็นอาคันตุวาต ทำให้เส้นพองขึ้นในท้อง ทำให้จุกแดกขึ้นดังจะขาดใจตาย ต้องนอนคว่ำร้องคราวอยู่ จะนอนหงายมิได้ มีทุกขเวทนาเป็นอันมาก
๖. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)ปลาไหล กระษัย(กะไษย)ปลาไหลนี้ เมื่อแก่เข้าเอาหางแทงลงไปที่หัวเหน่าแลทวารหนักทวารเบา ทำให้ขัดอุจจาระปัสสาวะ อุจจาระเหลืองดังขมิ้น หรือแดงดังน้ำฝางต้มหรือน้ำดอกคำ ตัวกระษัย(กะไษย)นั้นพันขึ้นไปตามลำไส้ หัวนั้นหยั่งไปที่ชายตับแลกระเพาะข้าว บริโภคอาหารเข้าไปเมื่อใด ตัวกระษัย(กะไษย)นั้นก็กินอาหารด้วยทุกเวลา ถ้าไม่ได้กินอาหารเข้าไป ตัวกระษัย(กะไษย)นั้นก็กัดชายตับชายม้านเจ็บปวดยิ่งนัก ทำให้เมื่อยขบไปทุกข้อกระดูก บางทีทำให้ขนลุกชูชันดังไข้จับ
๗. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)ปลาหมอ กระษัย(กะไษย)ปลาหมอนี้คล้ายกับมีจิตร์วิญญาณ เกิดขึ้นในลำไส้ ข้างขึ้นกระษัย(กะไษย)บ่ายศีรษะมากัดชายตับชายม้ามแลปอด ทำให้จุกแดก ข้างแรมกระษัยบ่ายศีรษะลงในท้องน้อยแลหัวเหน่า ทำให้ขัดอุจจาระแลปัสสาวะ เจ็บปวดเป็นกำลัง ร้องครางดังใจจะขาดตาย
๘. ว่าด้วยกระษัย(กะไษย)ปลาดุก กระษัย(กะไษย)นี้เกิดเพื่อโลหิตแลน้ำเหลืองระคนกัน คล้ายกับมีจิตร์วิญญาณเหมือนปลาดุกจริง ๆ เกิดขึ้นในกระเพาะข้าว ถ้าสตรีเกิดขึ้นที่มดลูก มีลักษณะดังหญิงครรภ์ได้ ๗ เดือน ๘ เดือน มีอาการแทงไปทางชาย ขวา ถ้าข้างขึ้นยันไปยอดอก มีอาการเจ็บอก มิได้ บางทีทำให้หอบให้สะอึก ถ้าข้างแรมเลื่อนลงไปอยู่ท้องน้อยแลหัวเหน้า(หัวเหน่า) บางทีต่ำลงไปกระดูกสันหลัง ตึงลงไปต้นข้าทั้ง ๒ ถ้าไม่รู้ก็ว่ามีครรภ์
ลักษณะของกษัยนั้น ท่านสามารถติดตามศึกษาได้ที่
- ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขา เวชกรรม เล่ม ๒ โดย กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
- ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม ๒ โดย พระยาพิศณุประสาทเวช สำนักพิมพ์ดวงดี
ปวดเส้นเอ็นทำอย่างไรดี ใช้สมุนไพรอะไร รักษาอาการเส้นเอ็นตึง เส้นเอ็น มือชา ปวดข้อนิ้วมือ เรามีคำตอบ
มือชา สมุนไพรแก้อาการมือชา สมุนไพรดี ที่ช่วยรักษา อาการมือชา สมุนไพรรักษาอาการมือชา คลิ๊กทางนี้
บทความเรื่อง สมุนไพรรักษาอาการมือชา ตอนที่ 1
ชาบริเวณปลายนิ้วอาจจะเป็นนิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้, นิ้วกลาง บางนิ้วหรือทั้ง 3 นิ้ว รวมทั้งนิ้วนางครึ่งนิ้ว
อาการชาบางครั้งหายไปได้เอง หรือมีอาการชามากขึ้นตอนกลางคืน
ชามากขึ้นเวลาทำงาน หรือชาตลอดเวลา
มีอาการกดเจ็บบริเวณฝ่ามือ
ถ้าท่านมีอาการเช่นนี้ อาจจะเป็นภาวะที่เส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ
โครงสร้างของมือ ที่ทำให้มีอาการชาลักษณะนี้
เส้นประสาทที่มาเลี้ยงฝ่ามือทางด้านฝ่ามือจะมี 2 เส้น คือ
เส้นประสาทมีเดียน (Median nerve) เลี้ยงฝ่ามือทางด้านนิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้, นิ้วกลาง และนิ้วนางครึ่งนิ้ว
เส้นประสาทอัลน่าร์ เลี้ยงฝ่ามือทางด้านนิ้วก้อย และอีกครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง
ความสำคัญ
เส้นประสาทมีเดียน เข้าไปในฝ่ามือโดยผ่านอุโมงค์ (Carpal tunnel) โดยมีเยื่อพังผืด (Deep tranverse carpal ligament) ขึงระหว่างกระดูกข้อมูล
ในอุโมงค์นี้ นอกจากจะมีเส้นประสาทมีเดียนแล้วยังมีเอ็นที่ทำหน้าท ี่งอนิ้วอีก 9 เส้น อยู่รวมกัน เส้นประสาทมีเดียนเมื่อคลอดอุโมงค์ข้อมือเข้าไปแล้ว จะไปแยกแขนงไปรับความรู้สึกที่นิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้, นิ้วกลาง ครึ่งนิ้วของนิ้วนางและอีกแขนงหนึ่งจะเลี้ยงกล้ามเนื ้อที่เนินฝ่าข้อมือด้านโคนนิ้วหัวแม่มือ (Thenar eminence)
สาเหตุ
การใช้งานของข้อมือที่มีการงอข้อมือ, หรือกระดกข้อมือมาก ๆ จะทำให้เยื่อพังผืดไปกดรัดเส้นประสาทมากขึ้น
ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่พบภาวะนี้ได้ เช่น โรคเบาหวาน, โรคพิษสุราเรื้อรัง, โรคไทรอยด์ และผู้ป่วยสูงอายุ เป็นภาวะที่อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณส่วนต่าง ๆ ในอุโมงค์นี้น้อยลง เซลล์บางส่วนตาย มีอาการบวมของเอ็นเยื่อหุ้มเอ็นไปกดเส้นประสาทมีเดีย นได้มากขึ้น
ข้อแนะนำ
ถ้ามีอาการชาปลายนิ้ว ลองขยับข้อมือ นิ้วมือเบา ๆ ถ้ามีอาการดีขึ้นหายชาได้ หรือมีอาการชาตอนกลางคืนบางครั้ง อาจจะมีสาเหตุจากการกดทับของเส้นประสาทมีเดียนในระยะ แรก ๆ ได้
ท่านควรหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมือที่อยู่ท่าที่ผิดปกติ เช่น ในท่องอข้อมือมาก ๆ การยกของ หรือการกระดกข้อมือมาก ๆ เช่น การยันพื้น, ดันสิ่งของต่าง ๆ
การที่ใช้ข้อมือมากเกินไป
การปวด ขา กลางคืน บางท่านบอกต้องเอาข้อมือวางบนหมอนหรือบางครั้งต้องเอ าหนังสือพิมพ์ม้วนผูกติดกับข้อมือให้ข้อมืออยู่ในท่า ตรงจะไม่ค่อยชา ก็เป็นวิธีที่ถูกต้อง ข้อมือที่อยู่ในท่าปกติ ไม่หักงอพับไปด้านใดด้านหนึ่ง จะเป็นท่าที่เส้นประสาทถูกกดทับน้อยที่สุด
ถ้าท่านลองแก้ไขด้วยตัวเองไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์
อ้างอิง สมุนไพร.com
บทความเรื่อง สมุนไพรรักษาอาการมือชา ตอนที่ 2
อาการชาของมือหรือเท้า เกิดได้จากสาเหตุหลายประการ เช่น ขาดสารอาหาร (วิตามินบีต่างๆ), เส้นเลือดส่วนปลายอักเสบ หรืออุดตัน เป็นต้น
สูตรสมุนไพร
เมล็ดงา 1 ลิตร
รำปลายข้าวสาร 1 ลิตร
กระเทียม 1 กำมือ ฝานเบาๆ
นำไปคั่วให้สุก บดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง กินเป็นประจำจนกว่าจะหาย
อ้างอิง Bloggang.com
บทความเรื่อง สมุนไพรรักษาอาการมือชา ตอนที่ 3
ว่านเอ็นเหลืองเป็นตัวยาที่ช่วยบำรุงเส้นเอ็น เอาไปใช้เดี่ยวๆไม่ได้ค่ะ นี่คือความเข้าใจผิดของผู้ใช้สมุนไพรและหลงเชื่อตามคำโฆษณาของผู้ขายยาที่ไม่มีความรู้เรื่องการใช้ยา จริงอยู่ว่าสรรพคุณของยาที่ปรากฎเป็นเช่นนั้นจริง แต่จะใช้ได้ก็ต้องเข้าใจสมุฏฐานของโรคว่าเกิดจากอะไร และเมื่อจะใช้ยาชนิดนั้นแล้ว จะต้องใช้คู่กับยาอะไร
เมื่อมีอาการมือชาจะเกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิตแน่นอน โลหิตอาจจะข้น มีไขมัน โลหิตเป็นพิษ หัวใจอ่อนแอ ประจำเดือนติดขัด อิริยาบถที่ชอบก้มหน้านานๆ เส้นหลังตึง หลังยอก สบักจม และอื่นๆ ล้วนเป็นเหตุให้เกิดอาการมือขาชาได้ทั้งนั้น
การรักษาสุขภาพเป็นเรื่องเฉพาะตน ถ้าน้องของคุณไม่มีแม้แต่เวลาจะดูแลตนเอง แล้วจะให้ใครช่วยได้ เรื่องปัจจัยเป็นอีกเรื่องต่างหาก ซึ่งถ้าไม่มี ก็สามารถช่วยเหลือกันได้เพราะเราเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่เรื่องเวลา จะต้องช่วยตนเอง หาเวลามานั่งคุยปรึกษาปัญหาโรคภัยที่เป็นอยู่ ถ้าไม่มีเวลา ก็เป็นกรรมของคนผู้นั้นเอง
อาการมือชาตอนเช้า มาจากหลายสาเหคุร่วมกัน คือ เลือด ลม ลักษณะของหมอน ท่านอน การขาดสารอาหารและที่สำคัญคือ รอยโรคของเจ้าตัวเองที่อาจมาจากโรคที่มีสาเหตุจริงและโรคที่มาจากความเตรียด เพราะในขณะที่นอนหลับนั้น หากหมอนสูงหรือต่ำไปจะทำให้กระดูกบริเวณต้นคอพับหรือกดเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนได้ ทำให้เลือดและลมเดินได้ไม่สะดวก ในรายที่เป็นหมอนรองกระดูกต้นคอเสื่อม หรือมีแคลเซียมเกาะเนื่องจากขาดการออกกำลังกายก็จะมีอาการชาได้เช่นกัน
การรับประทานอาหารที่ถุกส่วนทำให้ขาดวิตามินบี ก็ทำให้มีอาการชาได้
หากได้ทราบประวัติการเจ็บป่วย ลักษณะการชา และการใช้ชีวิตประจำวันเพิ่มเติม จะทำให้การวินิจฉัยได้ถูกต้องและแนะนำการปฏิบัติเพื่อให้อาการบรรเทาลงได้
ดิฉันเห็นใจทุกท่านที่กำลังตกอยู่ในสภาวะความเครียดโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจแบบนี้ หากเรามองกลับในด้านดี น่าจะป็นโอกาสให้เราได้หันมาใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองให้มากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักาตัวมากเกินความจำเป็น
ส่วนใหญ่มักมองข้ามการออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งเป็นการบำรุงส่งเสริมสุขภาพร่างกายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย แต่ได้ความสมบูรณ์แข็งแรงกลับมาซึ่งเงินทองก็ไม่สามารถให้ได้
การปฏิบัติตนที่สามารถทำได้เลยคือ
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี สูง พวกข้าวซ้อมมือ ผักใบเขียว ผักสด ผลไม้ มันเทศ ฯลฯ และเพิ่มวิตามินบี 1, 6, 12 วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า ทุกวัน ซึ่งราคาไม่แพงและหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
- บริหารคอ แขน ไหล่โดยการ
1.หันหน้าไปด้านซ้าย กลับมาตรง หันไปด้ายขวา
2.เอียงหน้าให้ชิดบ่ามากที่สุดด้านซ้าย กลับมาตรง เอียงหน้าให้ชิดบ่ามากที่สุดด้านขวา
3.ก้มหน้าลง กลับมาตรง แหงนหน้าขึ้น
4.หมุนศรีษะไปด้านซ้าย กลับมาตรง หมุนศรีษะไปด้านขวา
5.ใช้ฝ่ามือซ้ายดันขมับด้านซ้าย สลับกับ ใช้มือขวาดันขมับด้านขวาโดยให้ต้านน้ำหนักกัน จะทำให้กล้ามเนื้อ
บริเวณคอเกร็ง เกิดความยืดหยุ่น
6.ยืนเอียง 45 องศา เหวี่ยงแขนช้างขึ้นลงเป็นจังหวะจากต่ำไปหาสุงที่สุดเท่าที่จะสูงได้สลับกันซ้ายและขวา
ทำการบริหารเริ่มจากส่วนละ 5-10 ครั้ง หากกล้ามเนื้อเริ่มยืดหยุ่นแล้ว ก็สามารถทำเพิ่มขึ้นได้ ขอให้ทำต่อเนื่อง วันละ 20-30 นาที ในช่วงเช้า อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น (มีผู้ป่วยที่ทีอาการชามากจนแพทย์นัดผ่าตัดแล้ว แต่เมื่อได้ออกกำลังท่านี้นานประมาณ 1 เดือน อาการดีขึ้นเป็นลำดับ เมื่อทำได้ 3 เดือน อาการที่เป็นอยู่หายไปและไม่ต้อง ผ่าตัด ปัจจุบันยังคงทำอยู่เป็นประจำ
จะเห็นว่าหากเราให้เวลากับตัวเองโดยเห็นเป็นเรื่องสำคัยและจำเป็น ก็จะทำให้เราสมารถชนะการเจ็บป่วยได้
ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จัดลำดับความสำคัญให้กับการดำรงชีวิตให้ดีเท่านั้นคุณจะได้ประโยชน์โดยไม่เสียงานเลยค่ะ
บทความเรื่อง สมุนไพรรักษาอาการมือชา ตอนที่ 4
โรคมือชา อาการนี้อาจเกิดกับคุณ? (กรุงเทพธุรกิจ)
อาการชา เป็นปัญหาให้เกิดความวิตกกังวล และไม่สบายใจกับผู้ที่ประสบ เกรงว่า อาการชาจะกลายเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ บางคนเครียดจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
อาการของ มือชา - การกดทับเส้นประสาทที่ฝ่ามือจะทำให้มีอาการปวดมือ และปวดร้าวขึ้นไปที่แขนมักจะมีอาการชาที่นิ้วมือ โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลางและบางส่วนของนิ้วนางตามแนวของเส้นประสาท
อาการปวดจะมีมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานในลักษณะการเกร็งอยู่นานๆ เช่น การจับมีด กรรไกร การทำงานช่างที่ใช้ค้อนหรือใช้เครื่องมือที่มีแรงสั่นสะเทือนตั้งแต่เครื่องเป่าผมจนถึงเครื่องกระแทกเจาะคอนกรีต มักจะมีอาการปวดในเวลากลางคืนหรือเวลาตื่นนอนตอนเช้าบางรายที่ถูกกดทับอยู่นานๆ จะเริ่มมีอาการอ่อนแรงของมือ เช่น จะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงเวลากำมือ โดยเฉพาะการใช้มือหยิบของเล็กๆ จะทำได้ลำบากและมีกล้ามเนื้อลีบที่ฝ่ามือ
สาเหตุและพยาธิสภาพ
อาการปวดและชาเกิดเนื่องจากมีความดันสูงในช่องอุโมงค์ที่เส้นประสาทลอดผ่านที่บริเวณฝ่ามือ เนื่องจากมีการอักเสบและการหนาตัวของเนื้อเยื่อพังผืดที่คลุมช่องอุโมงค์นี้เกิดการกดทับเส้นประสาท ในรายที่เป็นอยู่มากๆ ก็จะเกิดเนื้อเยื่อพังผืดบางๆ รัดเส้นประสาทอีกชั้นหนึ่ง ทำให้การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล
การตรวจวินิจฉัยโรค มือชา
จะมีอาการปวดแปลบๆ เวลาเคาะที่เส้นประสาทอาจพบมีกล้ามเนื้อลีบ ในบางรายอาจต้องใช้การตรวจระบบไฟฟ้าของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
ปัจจัยเสี่ยง มือชา และโรคที่เกี่ยวข้อง
โรคเบาหวาน
โรคข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เก๊าต์
โรคต่อมไทรอยด์บกพร่อง
ภาวะตั้งครรภ์
ก้อนถุงน้ำหรือเนื้องอกในช่องอุโมงค์
กระดูกหักบริเวณข้อมือ
การใช้งานมือนานๆ
ภาวะบวมน้ำจากโรคไต โรคตับ
การรักษาโรค มือชา
ให้หลีกเลี่ยงการใช้งานมือในลักษณะเกร็งนานๆ
ควบคุมหรือรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวานให้ดี
การใช้ยาลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ชนิดรับประทานมักจะได้ผลดี โดยอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
บางรายอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยดามข้อมือชั่วคราว
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าในช่องอุโมงค์จะช่วยอักเสบและบางรายจะหายได้ การผ่าตัด เป็นการรักษาในรายที่มีอาการมากหรือกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรงหรือลีบลง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการรักษาด้วยการผ่าตัดทำให้โรคหายขาดได้
การผ่าตัดจะเป็นการตัดและเลาะพังผืดที่รัดเส้นประสาท ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็กและผู้ป่วยสามารถใช้งานได้ภายใน 2 สัปดาห์ และจะใช้งานได้ตามปกติ ภายใน 4 - 6 สัปดาห์
อ้างอิง กรุงเทพธุรกิจ
วิธีการรักษาอาการมือชา ด้วยสมุนไพร ทิพย์โอสถยาไทย ปวดเส้นเอ็นทำอย่างไรดี ใช้สมุนไพรอะไร รักษาอาการเส้นเอ็นตึง เส้นเอ็น มือชา ปวดข้อนิ้วมือ เรามีคำตอบ
ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ : ยาประสะจันทน์แดง
ชื่อยาสมุนไพร : ยาประสะจันทน์แดง
ชื่อแหล่งที่มา : ยาประสะจันทร์แดง ทิพย์โอสถ
สรรพคุณ : แก้ไข้ ตัวร้อน กระหายน้ำ
ทะเบียนเลขที่ : G443/51
ประเภท : ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ
ขนาดบรรจุ : จำนวน 60 แคปซูล
ใบอนุญาตเลขที่ ฆท. 751/2557
อายุของยา 3 ปี (นับจากวันผลิต)
ราคาปกติ :
ราคาขาย : 250 บาท
คำอธิบายเพิ่มเติม : สมุนไพรทิพย์โอสถยาไทย ตำรับยาประสะจันทน์แดง สมุนไพร
จะกล่าวกำเนิดไข้ โดยในที่มีอาการ แพทย์จงสดับสาร อันควรทำจะสำแดง
ไข้ใดให้รนร้อน กระหายน้ำนั้นเรี่ยวแรง ปากไหม้แตกระแหง จักษุแดงพิการกล ให้เจ็บไม่เว้นว่าง ทั่วสรรพางค์ไปทั้งตน ที่ใดอันเย็นยน ที่อันนั้นก็พึงใจ
ไข้ใดให้เย็นนัก แบมันมักให้นอนไป อาหารเห็นเบื่อใจ ให้เจ็บคอเจ็บลูกตา ตาแดงดูดังเลือด แลเจ็บหูทั้งซ้ายขวา กระดูกเจ็บทั่วกายา ให้อยากน้ำในราตรี หนึ่งนอน บ ห่อนหลับ หายใจคับ บ อิ่มดี ขัดข้องอุระทวี ให้รากเหลืองพิการกล
ไข้ใดสบัดหนาว แลสะบัดให้ร้อนรน หน้าผากศีร์ษะทนต์ ให้ปวดร่ำกระหน่ำ ไป เจ็บคอแลขัดอก กระหายน้ำบ คลายใจ เรี่ยวแรง บ มีใน ให้ระทดระทวยกาย ปัสสาวะให้ขัดข้อง ไม่แคล่วคล่อง ในทางระบาย แพทย์จงกำหนดหมาย ให้สถิตย์สเถียรใจ ไข้สามประการนี้ กำหนดมีใช่อื่นไกล สันนิบาตจงแจ้งใจ กระทำให้พิการกล
ไข้ใดเจ็บสดือ กระพือขึ้นไปเบื้องบน หน้าตานั้นวิงวน ให้มืดมนแลพร่างพราย ให้เจ็บที่กำด้น ตลอดจนกระหม่อม หมาย สบัดร้อนทุรนทุราย แล้วสะท้านให้เยือกเย็น ไส้พุงนั้นพลุ่งพล่าน ในอาการจงเล็งเห็น สันนิบาตโลหิตเปน ประจักษ์แจ้งอย่าแคลงใจ
ไข้ใดให้เป็นเม็ด ดูแดงทั่วทั้งตัวไป ให้ปวดขบศีร์ษะใน เมื่ออาทิตย์สว่างวัน เรียกว่าสันนิบาต ปกัง ชาติหมู่มัน แพทย์เห็นจงสำคัญ ให้หยั่งรู้ในเชิงชาย
ไข้ใดพิศดูรูป พิเคราะห์ทราบว่าตัวลาย แม้นเหมือนดังเรื้อนราย แลมันเพ้อมะเมอไป คนอื่นจะพูดด้วย มิได้ยินสำเหนียกใน โรคนี้ใช่อื่นไกล คือตรีโทษเข้าเบียดเบียฬ
ไข้ใดให้หนาวสะท้าน ย่อมบิดคร้านหน้าวิงเวียน แสยงขน แลปวดเศียร กระหายหอบ ซึ่งวารี บั้นเอ็วแลท้องน้อย ประจำเจ็บมากทวี ปากคอนั้นเคยมี น้ำลายเล่าก็ขาดไป นิทรา ก็ตาค้าง ด้วยทางลมเสมหะใน พัดปนระคนไป กำเนิดให้ซึ่งโรคา
ไข้ใดให้ตาแดง ผิวหนังแห้งอยู่โรยรา กระหายน้ำแลไสยา มิให้หลับระงับกาย ให้รากแลมูตร นั้น ดูสีสันก็เหลืองหลาย อาการเที่ยงดูเชิงชาย เปนสุดสิ้นสมประดี อาการนั้นบอกแจ้ง เปนตำแหน่งเสมหะมี เข้าปนระคน ดี เปนสองทำประจำกาย
ไข้ใดให้ท้องขึ้น แลวิงเวียนศีร์ษะสลาย ให้สอึกให้รากราย ด้วยโทษลมกำเดาทำ
ไข้ใดขัดอกจาม ตลอดถึงนาภี นำ เสมหะกำเดา ทำเข้าปะปนระคนกัน
ไข้ใดให้คลื่นเหียน แลอาเจียรน้ำลายครัน ลมเลือดน้ำเหลืองนั้น ทั้งสามโทษเข้าพันพัว
ไข้ใดให้นอนมาก ให้ขมปากให้เจ็บหัว หนึ่งนั้นให้เจ็บตัว กำเนิดเกิดไข้เพื่อดี
ไข้ใดมิให้หลับ ให้รากปวดศีร์ษะมี ให้กระหายซึ่งวารี ให้เจ็บคอปากแห้งไป
ไข้ใดให้เจ็บตา กระอาย หัวดังควันไฟ ทั้งสองไข้จงแจ้งใจ คือกำเดาให้โทษา
ไข้ใดมันให้เจ็บ แต่ฝ่าเท้านั้นขึ้นมา ให้ร้อนจนสิ้น สารพางค์กายไม่คลายใจ ในราตรีให้เร่งยา อย่าให้ทันอุไทยไข กำเดาโทษนี้ไซ้ เร่งระมัดประหยัดกาย ไข้เพื่อโลหิตนั้น สำคัญเจ็บหน้าผากหลาย ใจมักกระสับกระส่าย จงแจ้งจำที่คำครู
ไข้ใดให้นอนฝัน มักคลั่งไคล้อายปากดู น้ำลายมากพราวพรู แลมือเท้าให้เยือกเย็น มีมารยาอยากอาหาร เนื้อคาวหวานจงเล็งเห็น ข้อมือข้อเท้าเปน ให้ขัดข้องไม่ว่องไว หนึ่งให้สบัดหนาว แลสบัดให้ร้อนไป โทษนี้เสมหะใน มากระทำเข้าย่ำยี
ไข้ใดกินอาหาร ให้ขมปากนั้นมากมี ให้อยากของมิดี อันแสลง ซึ่งโรคา ให้สะท้านเนื้อระริก แลเสียวซ่านทั้งอาตมา หนึ่งเจ็บทั่วกายา ให้จุกเสียดไม่สมประดี
ไข้ใดหนาวสะท้าน แลบิดคร้านยอกเสียดมี ลักษณสองไข้นี้ เปนไข้เพื่อธาตุวาตา
ไข้ใดหนาวสะท้าน ปากหวานแลให้เอา เจียรแสยงซึ่งโลมา หนึ่งหัวตำแลลำคอ ทั่วทั้งสรรพางค์เนื้อ ให้เจ็บสิ้นไม่เหลือหลอ นอนขึงไม่พึงพอ อนึ่งอาหารไม่นำพา
ไข้ใดให้สะอึก แลรากร้อนในวิญญา ทั้งสองไข้คือวาตา ให้โทษแท้ประจักษ์ใจ คัมภีร์สารสงเคราะห์ ท่านจัดเจาะประจงไข ด้วยลักษณใน สำประชวร ห้าประการ เพื่อเลือดแลกำเดา จักษุแดงโลหิตปาน เพื่อเสมหะสัณฐาน จักษุดังขมิ้นทา หนึ่งเกิดเพื่อดีนั้น ดังแว่นเขียวเข้าปะตา หนึ่งเกิดเพื่อลมกล้า จักษุคล้ำให้มัวไป จำพวกหนึ่งจักษุนั้น ไม่สู้แดงประการใด เพื่อเส้นอำมะพฤก ใน ให้เกิดกับสำหรับชาย ถ้าแลสัตรีนั้น แพทย์จงได้สำคัญหมาย เพื่อเส้นปัตฆาฏ ท้าย เกิดสำหรับกับสัตรี
ไข้ใดให้กายนั้น ดูเศร้าดำไม่มีศรี ให้ไอแห้งอยากวารี ให้ฝาดปากเจ็บอกไป หายใจให้ขัดข้อง ด้วยในท้องเปนก้อนใน แพทย์จงกำหนดใจ เปนเพื่อลมสิ่งเดียวดาย
ไข้ใดให้เจ็บหนัง ปัสสาวะนั้นเหลืองหลาย ให้ร้อนกระวนกระวาย ให้พึงใจที่อันเย็น ตาแดงแลลงท้อง ให้อยากน้ำวิบัติเปน ไข้เพื่อกำเดาเห็น ประจักษ์จิตร อย่าคิดฉงน
ไข้ใดศีร์ษะนั้น ให้ปวดเหลือกำลังทน ให้สะท้านบิดคร้านตน ให้ไอให้หาวนอน หนึ่งให้เสโท ตก จะหยิบยกอธิกรณ์ เพื่อลมเสมหะจร เข้าทับทำประจำเปน
ไข้ใดให้ซึมมัว กระหายน้ำสะท้านเย็น ขมปากวิบากเปน หนึ่งท้องให้ร้องไป ให้เจ็บตัวเสโทตก หนึ่งให้กำเริบไอ เพื่อเสมหะกำเดาใน กระทำให้พิการกาย หนึ่งไข้ตรีโทษนั้น เปนโทษสามประการหมาย หนึ่งเจ็บไปทั่วกาย หนึ่งนอนไม่หลับไหล หนึ่งเล่าอาหารเคย ก็ละเลยไม่อาไลย แต่อาการที่เกิดใน เปนทุวรรณโทษา ถ้าแพทย์ใดสำนักครู เรียนร้อบรู้ในโรคา ยังพอจะเยียวยา ไว้สำนวนกระบวนทำ
ไข้ใดให้ไอแห้ง แลให้หอบเสมหะนำ ตั้งอยู่ในคอทำ ให้แพทย์พึงกำหนดใน เล็บมือแลเล็บเท้า แลลิ้นนั้นก็เขียวไป ตานั้นก็เขียวไซ้ ดังตาแมวมาติดตา สาบกลิ่นดังสุนักข์ แพะแร้งแลนกกา นำพร้อมด้วยโทษา โทษนั้นเที่ยงอย่าเกี่ยงใจ นามชื่อสันนิบาต มาตัดชาติทุกข์ไป ไม่พร้อมดังกล่าวไข แพทย์พอได้จะตามทัน
ไข้ใดล้มไข้ลง ในวันหนึ่งแลสองวัน ให้เชื่อมมึนอาการนั้น ไม่รู้สมประดีใด ให้ปิดอุจจาระ ยาถ่ายก็มิไป ทั้งอาหาร บ ทานได้ แลให้รากนั้นมากครัน ถ้าอาการนั้นยืนไป ถึงสิบวันสิบเอ็จวัน โทษตัดอย่าตามมัน เปนลักษณแห่งปถวี
ไข้ใดล้มไข้ลง ในสามวันสี่วันมี นอนสดุ้งไม่สมประดี สติพลั้งไม่ยั้งกาย ให้เพ้อ ให้เรอราก แลรากมีแต่น้ำลาย มือเท้าทั้งขวาซ้าย ให้ผิดเพศ สังเกตเย็น ได้หนึ่งจะเสียสอง ในทำนองจงเล็งเห็น อาการที่มันเปน คือโทษธาตุชาติวาตา ถ้าแก้มือแลเท้า มิได้เรียบให้ร้อนมา อาการบันดาลดา ให้ครุมเครือเรื้อรังไป ถึงเก้าวันสิบวัน จะอาสัญอย่าสงไสย เที่ยงแท้อย่าอาไลย เพราะโทษตายนั้นมีมา
ไข้ใดล้มไข้ลง อยู่ในสามสี่เวลา อาการมันมีมา บางทีนั้นให้ลงไป บางทีมันให้ตก เสมหะโลหิตใน ตามช่องทวาร ไข ทั้งหนักเบาแลบางที ให้รากซึ่งโลหิต จงเร่งคิดถึงชีวี ไข้ใดเปนดังนี้ อาโปธาตุนั้นบันดาล ถ้าแก้ด้วยยายำ ที่เคยซ้ำเปนหลายขนาน มิถอยซึ่งอาการ มันแขงขืนจะยืนไป ถึงแปดวันเก้าวัน เปนเที่ยงธรรม์ จะบรรไลย แพทย์จงสำคัญใจ กำหนดไว้ในอุรา
ไข้ใดล้มไข้ลง ถึงสามวันสี่วันมา ให้ร้อนทั่วกายา ทั้งภายนอกและภายใน ให้ทนทุรนราย กระสับกระส่ายในหัวใจ ให้ประพรมน้ำไป มิได้ขาดที่กายา ให้ลิ้นแห้งคอแห้ง แห้งจนถึงในอุรา อยากน้ำไม่เปนครา ให้คลั่งไคล้ไม่สมประดี ให้เจ็บนั้นต่างๆ ดังหนึ่งคนมารยามี อยากของอันต้องที่ กำหนดห้ามยิ่งหยามใจ ดุจดังฉะมบ ปอบ เข้าล้วงลอบกินอยู่ใน โทษนี้คือธาตุไฟ กระทำให้วิบัติกาย จะได้สักส่วนหนึ่ง แลจะเสียสองส่วนทาย แก้ร้อนมิวายคลาย อาการนั้นยังยืดยืน ถึงเจ็ดวันแปดวัน อย่าหมายมั่นจะฝ่าฝืน โทษนี้ไม่ได้คืน ชีวิตจะมรณา
อ้างอิงข้อมูล : ลักษณะอาการของไข้
- ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขา เวชกรรม เล่ม ๑ โดย กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
- ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม ๑ โดย พระยาพิศณุประสาทเวช สำนักพิมพ์ดวงดี